Digital Transformation Compass by The Conclusion

สรุป “4 เครื่องมือ” ในการทรานส์ฟอร์มธุรกิจ โดย The Conclusion — อาสาสรุป เพื่อให้ธุรกิจของคุณก้าวทันโลก และอยู่รอดได้ในยุคที่โลกหมุนเร็วขึ้นเรื่อย ๆ แบบนี้ แต่ละเครื่องมือมีความต่อเนื่องกัน ให้ลองอ่านและใช้งานจากเครื่องมือที่ 1 ไปยังเครื่องมือที่ 4 นะครับ

สรุป “4 เครื่องมือ” ในการทรานส์ฟอร์มธุรกิจ โดย The Conclusion — อาสาสรุป

เครื่องมือที่ 1: Digital Transformation in Action

เริ่มต้น ทรานส์ฟอร์มธุรกิจด้วย “ความเข้าใจ”

Digital Transformation Compass : Digital Transformation In Action

คนที่อยากเปลี่ยนแปลงธุรกิจของตนเอง แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร??

หนังสือเล่มนี้ได้ให้แนวทางการเริ่มต้นด้วย “การทำความเข้าใจทั้ง 5 มิติ”

เพื่อการทรานส์ฟอร์มธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ ไว้ดังนี้

1.เข้าใจ…การแข่งขันในปัจจุบัน (Competition)

ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่ารูปแบบของธุรกิจเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

ในอดีตไม่ว่าธุรกิจคุณจะใหญ่แค่ไหน ก็ไม่แน่ว่าคุณจะคงความยิ่งใหญ่ในยุคนี้ได้

ตัวอย่างในการแปลงอย่างชัดเจนคือการเกิดขึ้นของ “ธุรกิจแพลตฟอร์ม (Platform Business)”

และธุรกิจประเภทนี้ ได้ทำการปฏิวัติวงการธุรกิจไปอย่างสิ้นเชิง เช่น

“Grab” เป็นแพลตฟอร์มเรียกรถ ส่งพัสดุ และสั่งอาหาร

โดยไม่มีรถหรือร้านอาหารเป็นของตัวเองเลย

“Shopee” เป็นแพลตฟอร์ม e-Commerce ใช้ซื้อขายสิ้นค้า

โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีร้านค้า หรือสินค้าเป็นของตัวเองเช่นกัน

เราอาจไม่จำเป็นต้องสร้าง “แพลตฟอร์ม” เป็นของตัวเอง

และในอนาคตก็คงมีธุรกิจประเภทอื่น ๆ ที่เราควรทำความเข้าใจเพิ่มเติม

เพื่อ “หาโอกาส” ในการพัฒนาธุรกิจต่อไป

2.เข้าใจ…พฤติกรรมของลูกค้า (Customer Experience)

“ลูกค้าอยู่ที่ไหน เราก็ไปอยู่ที่นั้น”

อาจฟังดูเป็นหลักง่าย ๆ แต่มีประโยชน์มากเลยทีเดียว

สมัยก่อนลูกค้าอยู่กับหน้าจอทีวี

ตอนนี้ลูกค้าแค่เปลี่ยนมาอยู่ที่หน้าจอมือถือ

ลองสังเกตพฤติกรรมลูกค้าในทุก ๆ กิจกรรมที่เขาทำ

ทั้งในโลกออนไลน์ และออฟไลน์ เขาใช้เวลาไปกับอะไรบ้าง?

และประยุกต์กลยุทธ์ 5A ในการมัดใจลูกค้า

Aware → ทำให้ลูกค้ารับรู้ รู้จักแบรนด์ของเรา

Appeal → ดึงดูดความสนใจ ทำให้ลูกค้าชื่นชอบ

Ask → ตอบคำถามลูกค้า เพื่อประกอบการตัดสินใจ

Act → ลูกค้าตัดสินใจซื้อ

Advocate → สร้างให้เกิดการบอกต่อ

3.เข้าใจ…ข้อมูล (Data)

Data คือ ข้อมูล ข้อเท็จจริง ไม่ว่าจะเป็นตัวเลข ภาพ หรือเสียง

ซึ่งยังไม่ได้มีการประมวลผล

ลองมองดูว่าตอนนี้เรามี Data อะไรอยู่ในมือบ้าง?

Data แบ่งเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้

1.Data ของการบริหารจัดการธุรกิจ

เช่น ข้อมูลการผลิต สินค้าคงคลัง การจัดซื้อ การขาย

2.Data ของสินค้าและบริการ

เช่น ส่วนประกอบของสินค้า คุณสมบัติ หรือคุณค่าที่ส่งมอบให้ลูกค้า

3.Data ของลูกค้า

เช่น พฤติกรรมการซื้อสินค้า อายุ เพศ อาชีพ ของลูกค้า

ข้อมูลเหล่านี้ลองจัดให้เป็นระบบ นำมาวิเคราะห์ ดูแนวโน้ม

มันจะทำให้เราความเข้าใจปัญหาของธุรกิจ

และเข้าใจลูกค้าพฤติกรรมลูกค้ามากขึ้น ลูกค้าเราคือใคร? ชอบ/ไม่ชอบอะไร?

สามารถนำมาวางกลยุทธ์เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันได้อีกด้วย

4.เข้าใจ…นวัตกรรม (Innovation)

Apple เป็นบริษัทแรกของโลก ที่มูลค่าบริษัทถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์

จุดสำคัญคือการเกิดขึ้นของ iPhone ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมที่เปลี่ยนโลก

การสร้างนวัตกรรมนั้น “มีต้นทุน” ทั้งคน เวลา และเงิน

และไม่รู้ว่าเมื่อสร้างออกมาแล้วมันจะเวิร์คหรือไม่

หนังสือเล่มนี้ได้พูดถึง “Design Thinking”

แนวคิดหนึ่งที่ใช้ในการช่วยสร้างนวัตกรรม

โดยแบ่งเป็น 5 ขั้นตอนดังนี้

ขั้นตอนที่ 1: Empathize เข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้ง

ขั้นตอนที่ 2: Define ระบุปัญหา และความต้องการของลูกค้าให้ชัดเจน

ขั้นตอนที่ 3: Ideate ระดมความคิด สร้างสรรค์ไอเดียที่จะใช้แก้ปัญหา

ขั้นตอนที่ 4: Prototype สร้างแบบจำลองต้นแบบ

ขั้นตอนที่ 5: Test ทดสอบ เรียนรู้ และนำมาปรับปรุงแก้ไข

แต่ละขั้นตอนมีรายละเอียดอีกมากพอสมควร

อยากให้ลองนำไปศึกษาต่อ และปรับใช้กันดูนะครับ

5.เข้าใจ…การทรานส์ฟอร์มองค์กร (Transformation in Action)

“Digital Transformation”

ไม่ใช่แค่ “การทำไอที (Information Technology)”

ไม่ใช่แค่ “การขายของออนไลน์”

แต่มันคือ “การใช้ Digital มาเปลี่ยนกลยุทธทางธุรกิจทั่วทั้งองค์กร”

Digital Transformation มี 6 ระยะดังนี้

ระยะที่ 1: Business as Usual

  • เป็นระยะที่ธุรกิจยังดำเนินไปในรูปแบบเดิม
    อาจเริ่มมีความสนใจในดิจิทัล แต่ยังมองว่าไม่เร่งด่วน

ระยะที่ 2: Present and Active

  • ผู้นำธุรกิจเริ่มออกจาก Confort Zone
  • เริ่มเรียนรู้แนวทางในการทำ Digital Transformation

ระยะที่ 3: Formalized

  • เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นระบบ มีการลงทุนที่ตรงจุด
  • ผู้บริหารรับรู้และมีส่วนร่วม นำไปสู่การวางโครงสร้างใหม่

ระยะที่ 4: Strategic

  • องค์กรยอมรับการเปลี่ยนแปลงสู่ยุค Digital
  • มองเห็นภาพระยะสั้นและระยะยาวว่าจะไปในทิศทางใด
  • มีการวางแผนทรัพยากรที่มีจุดหมายชัดเจน

ระยะที่ 5: Converged

  • Digital Transformation เป็นหนึ่งใน DNA ขององค์กร
  • องค์กรมีการพัฒนาไอเดียใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา

ระยะที่ 6: Innovative and Adaptive

  • ได้มีการทำ Digital Transformation อย่างสมบูรณ์
  • สามารถกระโดดเข้าสู่การเติบโตและการแข่งขันใหม่ ๆ ได้เต็มที่
Digital Transformation Compass : Digital Maturity Assessment

เครื่องมือที่ 2: Digital Maturity Assessment

ประเมิน “ความพร้อม” ก่อนทำการทรานส์ฟอร์ม

เครื่องมือนี้จะช่วยให้เรารู้ว่า ตอนนี้เรามีความพร้อมในการทรานส์ฟอร์ม มากน้อยเพียงใด สิ่งใดที่เราขาด สิ่งใดที่เราทำได้ดี โดยแบ่งการพิจารณาเป็น 8 มิติ ดังนี้

มิติที่ 1: ด้านกลยุทธ์ (Strategy)

มิติที่ 2: ด้านผู้นำองค์กร (Leadership)

มิติที่ 3: ด้านประสบการณ์ลูกค้า (Customer Experience)

มิติที่ 4: ด้านการดำเนินงาน (Operation)

มิติที่ 5: ด้านบุคลากร (People)

มิติที่ 6: ด้านวัฒนธรรมองค์กร (Culture)

มิติที่ 7: ด้านองค์กร (Organization)

มิติที่ 8: ด้านเทคโนโลยี (Technology)

ทุกคนสามารถทำแบบประเมินได้ ฟรี! ไม่ค่าใช้จ่าย

เพียงเข้าไปที่ https://www.digitaltransformationacademy.org/assessment

หลังจากทำแบบประเมินเรียบร้อยแล้ว

เราจะสามารถแบ่ง Digital Maturity ได้เป็น 4 ระดับ ดังนี้

ระดับที่ 0: Outsiders องค์กรดั้งเดิม

  • ยังมีการดำเนินงานรูปแบบเดิม เชื่อว่าของเดิมยังใช้ได้อยู่

ระดับที่ 1: Dreamers องค์กรช่างฝัน

  • กำลังทำความเข้าใจธุรกิจในยุค 4.0
  • มักจะให้ผู้เชี่ยวชาญภายนอกเข้ามาช่วยในการริเริ่ม

ระดับที่ 2: Adopters องค์กรหัวก้าวหน้า

  • กำลังเพิ่มทักษะ ความรู้ ความเข้าใจเรื่อง Digital Transformation
  • กำลังขวนขวาย ลงทุน ลงแรง ปรับองค์กรเพื่อเป้าหมายที่วางไว้

ระดับที่ 3: Harmonizers องค์กรรวมพลัง

  • สามารถใช้ดิจิทัลมาสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันได้
  • มีการวางแผนเชิงกลยุทธ์ ระบุรายละเอียดและระยะเวลาที่ชัดเจน

ระดับที่ 4: Differentiator ผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลง

  • มีโครงการที่นำดิจิทัลมาใช้ได้อย่างเต็มรูปแบบ
  • มีการประเมินความเสี่ยง และเตรียมความพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต

เมื่อเรารู้แล้วว่าองค์กรเราอยู่ในระดับใดก็ไปใช้เครื่องมือที่ 3 เพื่อทำการสร้าง Roadmap ในการทรานส์ฟอร์มกันได้เลย!

Digital Transformation Compass : Digital Transformation Roadmap Model

เครื่องมือที่ 3: Digital Transformation Roadmap Model

ออกแบบ “Roadmap” ในการทรานส์ฟอร์ม

เมื่อประเมินความพร้อมเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาสร้าง Roadmap ในการทำ Digital Transformation อย่างเป็นระบบ โดยมีวิธีการดำเนินงานดังนี้

.

1.Bridge

พิจารณาผลการประเมิน Digital Maturity เพื่อให้เห็นช่องว่าง ระหว่างสิ่งที่เป็นอยู่ กับเป้าหมายที่อย่างให้เป็น ทั้ง 8 มิติ

.

2.Prioritize

จัดลำดับความสำคัญในการปรับปรุงและพัฒนาระดับ Digital Maturity โดยมุ่งเน้นมิติที่จะส่งผลกระทบต่อความเป็นแปลงที่สูงก่อน โดยคำนึงถึงทรัพยากร (บุคคล เวลา และงบประมาณ) ที่องค์กรมีอยู่ในปัจจุบันด้วย

.

3.Plan

คิดแผนการดำเนินงานจากปัจจุบันไปสู่อนาคต วางเป้าหมายที่อยากทำให้สำเร็จรวมถึงกรอบระยะเวลา เพื่อเพิ่มระดับ Digital Maturity ทั้ง 8 มิติ ตามลำดับความสำคัญที่ตั้งไว้ในข้อที่ 2

.

4.Design for Transformation

ออกแบบการเปลี่ยนแปลงในองค์กร โดยการคำนึงถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด และมุมมองต่าง ๆ ดังนี้

  • Purpose: สร้างแรงบันดาลใจและวัตถุประสงค์ร่วมกันของทุกคน
  • Human: การบริหารจัดการบุคคลทั้งผู้ที่สนับสนุนและไม่สนับสนุนการเปลี่ยนแปลง
  • Collaboration: สร้างกระบวนการมีส่วนร่วมและพฤติรรม ที่ต้องการให้เกิดขึ้นของแต่ละฝ่าย
  • Enabler: ปัจจัยร่วมในการสนับสนุนการเปลี่ยนแปลง เช่น การสนับสนุนจากผู้บริหาร
  • Barrier: คาดการณ์สิ่งที่เป็นอุปสรรค และวางแผนในการจัดการไว้ล่วงหน้า
Digital Transformation Compass : Digital Transformation Metrics

เครื่องมือที่ 4: Digital Transformation Metrics

ลงมือทรานส์ฟอร์ม วัดผล เรียนรู้

เมื่อองค์กรได้ลงมือทำการทรานส์ฟอร์มแล้ว จะรู้ได้อย่างไรว่า “สิ่งที่เราทำไปนั้นสำเร็จ” เราจึงต้องมี “ตัวชี้วัด” ความสำเร็จ

โดยแบ่งเป็น 3 ส่วนดังนี้

.

ส่วนที่ 1: New Growth

นั้นก็คือ “สัดส่วนรายได้” ที่มาจากสินค้าและบริการใหม่ ๆ เพิ่มมากขึ้น หลังจากการทรานส์ฟอร์มธุรกิจ เทียบกับรายได้จากธุรกิจหลักเดิม

ส่วนที่ 2: Repositioning the core

ความสามารถในการเปลี่ยนแปลง “Core (แก่น)” ของธุรกิจเดิม รวมถึงการสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในตลาดหรืออุตสาหกรรมที่ทำธุรกิจอยู่

ส่วนที่ 3: Financials

ผลประกอบการของธุรกิจที่แข็งแกร่ง ทั้งการเงินและตลาดทุน ความสามารถในการพลิกฟื้นธุรกิจจากเดิมที่เคยขาดทุน หรือตกต่ำ จนกลับมาเป็นผู้นำในตลาดได้

.

หนังสือเล่มนี้ยังได้บอกอีกว่า บริษัทไหนที่ทำ Digital Transformation สำเร็จ! จะเกิดผลลัพธ์ตาม “สูตร 3+1” ดังนี้

1. New Efficiencies (ประสิทธิภาพใหม่)

ต้นทุนลดลง สามารถผลิตสินค้าหรือส่งมอบการบริการได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น แต่มีข้อเดียวยังไม่พอต้องมีอีก 2 ข้อด้วย

2. Enhance Customer Experiences (ประสบการณ์ใหม่)

นอกจากผลลัพธ์จากข้อแรกแล้ว ต้องทำให้ลูกค้าเกิดประสบการณ์ใหม่ที่ดีกว่าการใช้งานสินค้าหรือบริการแบบเดิม ๆ

3. Build New Business Models (สร้างโมเดลธุรกิจใหม่)

Digital Transformation ต้องทำให้ธุรกิจสามารถสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ หรือวิธีการหารายได้ใหม่ ๆ ซึ่งเกิดจากความสามารถในการแข่งขันใหม่ของบริษัทเอง

.

นอกจาก 3 ข้อนี้แล้วยังต้องเกิดอีก 1 อย่างที่สำคัญมาก ๆ นั้นคือการสร้าง “New S-Curve” การเติบโตที่ก้าวกระโดดและเห็นได้ชัดนั้นเอง

.

หวังว่าการสรุปครั้งนี้จะช่วยให้ธุรกิจของคุณพัฒนาขึ้นได้ ไม่มากก็น้อยนะครับ

.

Digital Transformation Compass

สำหรับผู้ที่อยากศึกษาเรื่อง Digital Transformation อย่างจริงจัง

สามารถสั่งซื้อหนังสือ Digital Transformation Compass ได้ที่

https://www.digitaltransformationacademy.org/Books

หรือ Digital Transformation Academy

--

--